นางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ มีกำหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ
ระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคม 2555
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อพัฒนาการประชาธิปไตยและศักยภาพทางเศรษฐกิจไทย
การพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขัน และบทบาทสำคัญของไทยในภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งกำลังจะเป็นประชาคมอาเซียนที่มีพลวัตรและศักยภาพด้านเศรษฐกิจที่โดดเด่น
การเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 17-19
กรกฎาคม 2555 ตามคำเชิญของรัฐบาลเยอรมนี นับเป็นการเยือนครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีไทย
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 และถือเป็นประเทศแรกของการเยือนภูมิภาคยุโรป
ในโอกาสที่ไทยกับเยอรมนีกำลังฉลองวาระครบรอบ 150 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ในปีพ.ศ.
2555
โดยสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ถือเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก มีเครือข่ายธุรกิจที่กว้างขวาง และเป็นประเทศอุตสาหกรรมและนวัตกรรมชั้นนำของโลก
จึงมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจในยุโรป และเป็นประเทศผู้ขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางของสหภาพยุโรป
ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับผู้นำหญิงของเยอรมนี นางอังเกลา
แมร์เคล ที่มีบทบาทสำคัญต่อการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤติที่เกิดขึ้น
การคาดการณ์สถานการณ์ และย้ำบทบาทของไทยในฐานะหุ้นส่วนที่พร้อมสนับสนุนเยอรมนี ต่อการแก้ปัญหาและสร้างเสริมประโยชน์ร่วมกัน
รวมทั้ง หารือถึงแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสีเขียว
และอุตสาหกรรมสาขาต่างๆที่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้
เพื่อการเติบโตไปพร้อมกัน
สำหรับการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
19 – 21 กรกฎาคม 2555 ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันกับเยอรมนีนั้น
นายกรัฐมนตรีจะมุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีกับฝรั่งเศสในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
ซึ่งมีแผนปฏิบัติการร่วมไทย-ฝรั่งเศส ฉบับที่ 2 (ค.ศ.2012-2014) โดยการหารือกับนายฟรองซัวส์
ออลองด์ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤติที่เกิดขึ้น แนวโน้ม
และนโยบายของฝรั่งเศสต่อการแก้ปัญหา และตอกย้ำความร่วมมือทวิภาคี
เช่น การหาแนวทางเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน การขจัดปัญหาอุปสรรคต่างๆ และที่สำคัญการสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์ของฝรั่งเศสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เช่น การเข้าร่วมในโครงการพัฒนาเครือข่ายในภูมิภาค
ทั้งนี้
การเดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ซึ่งถือเป็นประเทศที่สำคัญในภูมิภาคยุโรปที่มีมูลค่าการค้าการลงทุนสูง
และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือกับไทยในภูมิภาคยุโรป จึงนับเป็นโอกาสและช่วงเวลาที่เหมาะสม
ที่ภาคเอกชนของไทย จะได้ใช้โอกาสดังกล่าวแสวงหาลู่ทางการขยายความร่วมมือ
การค้าการลงทุน รวมทั้งการเจรจาแก้ปัญหาและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ในการนี้
จึงมีภาคเอกชนไทยจาก 5 สาขาที่มีการค้าและการลงทุนอยู่ในภูมิภาคยุโรป
และมีแผนการขยายการลงทุน ได้แก่ สาขาเกษตรอาหาร อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
สาขาพลังงาน แฟชั่น และการแพทย์ ร่วมคณะเดินทางเยือนด้วย รวมทั้ง เพื่อผลักดันกลไกความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชนอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น